วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ICT สำหรับครู


คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมต่างๆสามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ ลักษณเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักภาพสูงในการคำนวณประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข รูปภาพ ตัวอักษร และเสียง


ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์

หมายถึง ส่วนที่ประกอบเป็นเคื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ

ส่วนที่1 หน่วยรับข้อมูลเข้า Input unit

เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ ได้แก่

-แป้นอักขระ Keyboard

-แผ่นซีดี

-ไมโครโฟน

ส่วนที่ 2 หน่วยประมวลผลกลาง

Central Processing

ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ

ส่วนที่ 3 หน่วยความจำ

ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลแล้วเพื่อเตรียมส่งยังหน่ยวแสดงผล

ส่วนที่4 หน่วยแสดงผล (Output Unit)

ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว

ส่วนที่5 อุปกรต่อพ่วงอื่นๆPeripherel

เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็น(modem)แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่ายเป็นต้น

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

1.มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วเพียงชั่ววินาที จึงใช้ในงานคำนวณต่างๆได้อย่างรวดเร็ว

2.มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงใช้แทนกำลังคนได้มาก

3.มีความถูกต้องแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้

4.เก็บข้อมูลได้มาก ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร

5.สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเคื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายอย่างรวดเร็ว

ระบบคอมพิวเตอร์

หมายถึง กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆกับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่น ระบบเสียภาษี ระบบทะเบียนราษฎร์ ระบบทะเบียนการค้า ระบบเวช ระบบของโรงพยาบาล เป็นต้น

การเข้าถึงข้อมูลเหล่านนี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบโดยการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอบย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน ดังนี้

1.ฮาร์ดแวร์ หรือส่วนเครื่อง

2.ซอฟแวร์ หรือส่วนชุดคำสั่ง

3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก

4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล

ฮาร์ดแวร์(Hardware)

หมายถึงตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้ ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน ดังนี้คือ

1.ส่วนประมวลผล(Processor)

2.ส่วนความจำ(Memory)

3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก(Input-Output Devices)

4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล(Storage Device)

ส่วนที่1CPU

CPU เป็นอุปกรฮาร์ดแวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง

มีห้านที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวลผลและเปรียบเทียบข้อมูล โดยทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิษและแปลงให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ความสามารถของ ซีพียู นั้นพิจารณาจากความเร็วของซีพียู ขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า สัญญาณนาฬิกา เป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน1 นาที มีหน่วยเป็น เฮิรตซ์

ส่วนที่2 หน่วยความจำ

จำแนกออกเป็น2 ประเภทดังนี้

1.หน่วยความจำหลัก

2.หน่วยความจำสำรอง








ส่วนแสดงผลข้อมูล

ส่วนที่แสดงผลข้อมูล คือส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลาง ให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้ อุปกรณืที่แสงผลข้อมูลได้แก่ จอภาพ (Monitor) เครื่องพิมพ์(Printer)เครื่องพิมพ์ภาพ(Plotter)และลำโพง(Speaker)เป็นต้น

บุคลากรทางคอมพิวเตอร์

บุคลากรทางคอมพิวเตอร์หมายถึงคนที่มีความรู้ความสารมารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่นอาจประกอบด้วยคนเดียวหรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์

ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์

1.ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน

2.ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม

3.ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ

บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์

1.หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์

2.หัวหน้าฝายวิเคราะห์และวางแผน

3.โปรแกรมเมอร์

4.ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์

5.พนักงานจัดเตรียมข้อมูล

-นักวิเคราะห์ระบบงาน ระงานเดิมนำมาพัฒนาใหม่ให้สอดคล้องกัน

-โปรแกรมเมอรืสร้างโปรแกรม

-วิศวกรระบบออกแบบสร้างและบำรุง

-พนักงานปฏิบัติการ ปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจเกียวกับคอมพิวเตอร์

แบ่งคอมพิวเตอรืเป็น4ระดับดังนี้

1.ผู้จัดการระบบ (System Manager) คือผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน

2.นักวิเคราะห์ระบบ ( System Analyst )คือ ผู้ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่ทำการวิเคราะห์ความเหมาะสมในการใช้งานคอมพิเตอร์กับระบบงาน

3.โปรแกรมเมอร์คือ (Programmer) ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ทำงานตามต้องการของผู้ใช้

4.ผู้ใช้ (User)คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป


.....................................................................................................................................................................





   ระบบปฏิบัติการสามารถจำแนกออกเป็น 3 ชนิด
1. ประเภทใช้งานเดียว() ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหมดให้เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งล่ะหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการดอส เป็นต้น  
2. ใช้หลายงาน (Multi-tasking) ประบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานได้หลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามรถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows98ขึ้นไป และ Unix เป็นต้น
3.   ประเภทใช้งานหลายคน (Multi-user) ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมหันหลายคน แต่ละคนจะมีสถานีงานของตัวเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา เช่น ระบบประติบัติการWindows NT และ Unix เป็นต้น   


2.ตัวแปลภาษา
           การพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษษระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง
ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ้งสร้างขึ้นให้ผู้เขียนโปรแกรมเชียนชุดคำสั่งได้ง่ายเข้าใจได้ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ในภายหลังได้
           ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา ซึ้งภาษาระดับสูงได้แก่  ภาษาBasic,Fortran,Pascal,Cobol,C และภาษาโลโก เป็นต้น
          นอกจากนี้ ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใชช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมาก ได้แก่ Fortran,Cobol และภาษาอาร์พีจี

ซอฟต์แวร์ประยุกต์(Application Softwere)
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การจัดการรพิมพ์รายงาน การนำเสนองาน การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบเว็บไซต์ เป็นต้น

ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์ แบ่งไปน 2ประเภท คือ
1. ซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ(proprrietary Software)
2.ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป (Packaged Software)
มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ(Customized  Packaged)และโปรแกรมมาตรฐาน(Standard Packaged)


กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย
                        ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว และการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
    โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional
    โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDRAW, Adobe Photoshop
    โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere, Pinnacle Studio DV              ต่อ>
            โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook Instructor, Adobe Director
   โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash, Adobe Dreamweaver
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
            โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Instant Messaging) อาทิ MSN Messenger/ Windows Messenger, ICQ
            โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH, MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
            การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะ
เข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก
เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษา
คอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยค
ข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษา
คอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย
บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการ-
คำนวณทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ บาง
ภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการ
จัดการข้อมูล
ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
 เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน 
มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบ 
การที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และ
ทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง 
ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ใน-
การติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะ
ถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และปฏิบัติตาม
จะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้
เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย
ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
      เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า 
ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์
ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงาน
คอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลข
ฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลข
ฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงาน
คอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง
    การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที
แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้
ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัว
อักษร
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Languages)
      เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์ 
   แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มาก และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler) เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง

ภาษาระดับสูง (High-Level Languages)
                        เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้
ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็น
ประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรม
สามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์
ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียน
โปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาษาระดับสูง
ใกล้เคียงภาษามนุษย์ ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้
เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่ 2 ชนิด ด้วยกัน คือ 
คอมไพเลอร์ (Compiler) และ อินเทอร์พรีเตอร์ 
(Interpreter)
คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียน
เป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็น
ภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์
ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
อินเทอร์พรีเตอร์ จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้ว
ให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จ
แล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อ
แตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรี
เตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลที
ละคำสั่ง